https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/514730 |
มะละกอ เป็นพืชที่มีหลายเพศ (polygamous) บางต้นเป็นเพศผู้ มีเฉพาะดอกตัวผู้ซึ่งไม่มีเกสรตัวเมีย บางต้นเป็นเพศเมียมีดอกเฉพาะดอกตัวเมียซึ่งไม่มีเกสรตัวผู้ และบางต้นเป็นกระเทย คือมีดอกที่เป็นดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) พันธุ์ที่นิยมนำมาปลูกกันมากคือพันธุ์ที่มีต้นแบบกระเทย เพราะสามารถผสมตนเอง (self pollination) ภายในดอกหรือภายในต้นเดียวกันได้ สามารถขยายพันธุ์ได้ดีเพราะให้เมล็ดที่มีอัตราการงอกเป็นต้นที่มีดอกกระเทยและต้นที่มีดอกตัวเมียในสัดส่วน 2 : 1 และต้นที่มีดอกกระเทยให้ผลที่มีรูปร่างยาว มีการให้ผลอย่างสม่ำเสมอ
ลักษณะทางพันธุกรรมของมะละกอ
ลักษณะทางพันธุกรรมของมะละกอ
ฟีโนไทป์ | จีโนไทป์ |
---|---|
ต้น | |
ต้น | |
ต้น |
สำหรับจีโน ไทป์ที่ เป็นฮอมอ ไซกัสยีน คือ Mm/Mm , Mh/Mh และ เฮ เทอโร ไซกัสยีน ซึ่ง เป็น ยีน เด่น ทั้ง คู่ คือ Mm/Mh ไซ โกตจะ ตาย ไป จึง ไม่ มี ต้น อ่อน ที่ มี ชีวิต เหลือ อยู่
ต้นมะละกอตัวผู้จะไม่ให้ผลเพราะไม่มีรังไข่ซึ่งเป็นส่วนของเกสรตัวเมีย สำหรับพันธุกรรมที่ควบคุมเพศของมะละกอมีผลต่อรูปร่างของผลมาก กล่าวคือต้นตัวเมียจะให้ผลที่มีรูปร่างค่อนข้างกลมสั้นส่วนต้นกระเทยให้ผลที่มีรูปร่าง กลมยาวซึ่งเป็นที่นิยม พันธุ์มะละกอที่รู้จักกันดี ได้แก่ พันธุ์สายน้ำผึ้ง พันธุ์โกโก้และพันธุ์แขกดำ
การแสดงออกเกี่ยวกับเพศ (sex expression) นอกจากยีนจะเป็นตัวควบคุมเพศของมะละกอแล้ว สิ่งแวดล้อมมักมีผลต่อการแสดงออกเกี่ยวกับเพศด้วย เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณของปุ๋ยไนโตรเจน เป็นต้น ถ้าอุณหภูมิในช่วงเวลากลางวันและช่วงกลางคืนมีความ แตกต่างกันมาก อาจทำให้เกิดดอกตัวเมียในต้นกระเทย และถ้ามีความชื้นสูง อากาศเย็น และมีปุ๋ยไนโตรเจนมากในช่วงที่ตาดอกกำลังเจริญ อาจทำให้เกิดดอกกระเทยที่มีก้านชูอับละอองเรณูเชื่อม ติดกับผนังรังไข่ จึงมักให้ผลที่ไม่ยาวและมักบิดเบี้ยวโค้งงอ
สำหรับดอกกระเทยซึ่งมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย นักวิชาการได้พบว่าลักษณะของดอกมีหลากหลาย เช่น บางลักษณะยอดเกสรตัวเมียอยู่สูงกว่าอับละอองเรณูของเกสรตัวผู้ ลักษณะเช่นนี้ในธรรมชาติจะทำให้เกิดการผสมข้ามต้น (cross pollination) และบางลักษณะ อับละอองเรณูอยู่สูงกว่ายอดเกสรตัวเมียซึ่งจะเอื้อต่อการผสมตัวเอง ส่วนต้นตัวเมียจะต้องผสมข้ามกับต้นอื่น โดยอาศัยกระแสลมหรือแมลงพวกผึ้งหรือผีเสื้อช่วยในการผสมเกสร จึงจะมีเมล็ดสำหรับใช้ปลูกต่อไป
การปรับตัวและการสูญพันธุ์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพ แวดล้อม จึงจะมีชีวิตอยู่รอด สืบพันธุ์ให้ก ำเนิดลูกหลานดำรงรักษาเผ่าพันธุ์ของตนไว้ได้ และการปรับตัวนี้เป็นไปถึงระดับของยีน จากการศึกษาพันธุกรรมของมะละกอ เราได้ทราบแล้วว่าจีโนไทป์บางอย่างไม่อาจดำรง ชีพอยู่ได้ คือ Mh/Mh , Mm/Mm และ Mm/Mh แต่ต้นมะละกอที่มีจีโนไทป์บางแบบสามารถดำรงอยู่ได้ กล่าวคือ Mh/m , Mm/m และ m/m
การใช้พันธุวิศวกรรมในการปรับปรุงพันธุ์มะละกอ การปรับปรุงพันธุ์ มะละกออาจทำได้โดยการผสมข้ามพันธุ์ เพื่อให้มีรสชาติ สีของเนื้อ ความแข็งของเนื้อและรูปร่างตามที่ผู้บริโภคต้องการ แต่มะละกอ ก็เป็นพืชที่มีโรครบกวนมาก เช่น โรคจุดวงแหวนซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในปัจจุบันจึงมีการนำเทคโนโลยีชีวภาพหรือพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) มาใช้โดยการ ตัดและต่อยีนเพื่อสร้างพันธุ์ที่มีความต้านทานต่อโรคดังกล่าวซึ่งเป็นผลมาจากความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกรมวิชาการเกษตรกับมหาวิทยาลัยคอร์เนล การค้นพบดังกล่าว ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญา จะต้องมีการจดสิทธิบัตรยีน (gene patent) และและมีสัญญาในการแบ่งผลประโยชน์
ต้นมะละกอตัวผู้จะไม่ให้ผลเพราะไม่มีรังไข่ซึ่งเป็นส่วนของเกสรตัวเมีย สำหรับพันธุกรรมที่ควบคุมเพศของมะละกอมีผลต่อรูปร่างของผลมาก กล่าวคือต้นตัวเมียจะให้ผลที่มีรูปร่างค่อนข้างกลมสั้นส่วนต้นกระเทยให้ผลที่มีรูปร่าง กลมยาวซึ่งเป็นที่นิยม พันธุ์มะละกอที่รู้จักกันดี ได้แก่ พันธุ์สายน้ำผึ้ง พันธุ์โกโก้และพันธุ์แขกดำ
การแสดงออกเกี่ยวกับเพศ (sex expression) นอกจากยีนจะเป็นตัวควบคุมเพศของมะละกอแล้ว สิ่งแวดล้อมมักมีผลต่อการแสดงออกเกี่ยวกับเพศด้วย เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณของปุ๋ยไนโตรเจน เป็นต้น ถ้าอุณหภูมิในช่วงเวลากลางวันและช่วงกลางคืนมีความ แตกต่างกันมาก อาจทำให้เกิดดอกตัวเมียในต้นกระเทย และถ้ามีความชื้นสูง อากาศเย็น และมีปุ๋ยไนโตรเจนมากในช่วงที่ตาดอกกำลังเจริญ อาจทำให้เกิดดอกกระเทยที่มีก้านชูอับละอองเรณูเชื่อม ติดกับผนังรังไข่ จึงมักให้ผลที่ไม่ยาวและมักบิดเบี้ยวโค้งงอ
สำหรับดอกกระเทยซึ่งมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย นักวิชาการได้พบว่าลักษณะของดอกมีหลากหลาย เช่น บางลักษณะยอดเกสรตัวเมียอยู่สูงกว่าอับละอองเรณูของเกสรตัวผู้ ลักษณะเช่นนี้ในธรรมชาติจะทำให้เกิดการผสมข้ามต้น (cross pollination) และบางลักษณะ อับละอองเรณูอยู่สูงกว่ายอดเกสรตัวเมียซึ่งจะเอื้อต่อการผสมตัวเอง ส่วนต้นตัวเมียจะต้องผสมข้ามกับต้นอื่น โดยอาศัยกระแสลมหรือแมลงพวกผึ้งหรือผีเสื้อช่วยในการผสมเกสร จึงจะมีเมล็ดสำหรับใช้ปลูกต่อไป
การปรับตัวและการสูญพันธุ์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพ แวดล้อม จึงจะมีชีวิตอยู่รอด สืบพันธุ์ให้ก ำเนิดลูกหลานดำรงรักษาเผ่าพันธุ์ของตนไว้ได้ และการปรับตัวนี้เป็นไปถึงระดับของยีน จากการศึกษาพันธุกรรมของมะละกอ เราได้ทราบแล้วว่าจีโนไทป์บางอย่างไม่อาจดำรง ชีพอยู่ได้ คือ Mh/Mh , Mm/Mm และ Mm/Mh แต่ต้นมะละกอที่มีจีโนไทป์บางแบบสามารถดำรงอยู่ได้ กล่าวคือ Mh/m , Mm/m และ m/m
การใช้พันธุวิศวกรรมในการปรับปรุงพันธุ์มะละกอ การปรับปรุงพันธุ์ มะละกออาจทำได้โดยการผสมข้ามพันธุ์ เพื่อให้มีรสชาติ สีของเนื้อ ความแข็งของเนื้อและรูปร่างตามที่ผู้บริโภคต้องการ แต่มะละกอ ก็เป็นพืชที่มีโรครบกวนมาก เช่น โรคจุดวงแหวนซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในปัจจุบันจึงมีการนำเทคโนโลยีชีวภาพหรือพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) มาใช้โดยการ ตัดและต่อยีนเพื่อสร้างพันธุ์ที่มีความต้านทานต่อโรคดังกล่าวซึ่งเป็นผลมาจากความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกรมวิชาการเกษตรกับมหาวิทยาลัยคอร์เนล การค้นพบดังกล่าว ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญา จะต้องมีการจดสิทธิบัตรยีน (gene patent) และและมีสัญญาในการแบ่งผลประโยชน์